หน้าแรก > บทความ > ปะยางแบบไหนดี ? ให้อยู่ทนนาน

ปะยางแบบไหนดี ? ให้อยู่ทนนาน

อ่านรายละเอียดหัวข้อที่สนใจ สำหรับการปะยาง 


ปะยางแบบไหนดี ? ให้อยู่ทนนาน


เชื่อได้เลยว่าผู้ใช้รถใช้ถนนร้อยทั้งร้อย ต่างก็อยากให้การขับขี่มีแต่ความราบรื่น ปลอดภัย ไร้อุปสรรค แต่บางครั้งปัญหาสุดคลาสสิกอย่างรถยางแตก ยางรั่ว หรือยางแบนจากพื้นถนนที่ขรุขระ เศษกระจก หรือแม้แต่การถูกตะปูแทง ก็เกิดขึ้นได้แบบไม่ทันได้ตั้งตัว โดยเฉพาะรถที่มีอายุการใช้งานนานและไม่ค่อยได้ตรวจสภาพยางกันสักเท่าไหร่ ดังนั้นเพื่อให้รถยนต์ยังคงใช้งานได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินทาง คนส่วนใหญ่ก็มักจะทำการปะยางแก้ขัดกันไปก่อน แต่จะเลือกวิธีการปะยางแบบไหนดี แบบไหนทน หรือปะยางแล้ววิ่งทางไกลได้ไหม ในวันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้ว

ปะยางคืออะไร


การปะยาง คือวิธีการอุดรอยรั่วบริเวณยางล้อรถยนต์ เพื่อป้องกันไม่ให้ลมจากภายในรั่วซึมออกมา จนไปกระทบต่อสภาพการใช้งานของยาง ทำให้ยางนิ่ม แบน หรือเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่ โดยวิธีที่ใช้ในการปะยางก็อาจจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความชำนาญและประสบการณ์ของช่างแต่ละคน โดยในปัจจุบันก็จะมีวิธีปะยางที่ได้รับความนิยมอยู่ 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่ วิธีปะยางแบบแทงใยไหมและวิธีปะยางแบบสตรีม

วิธีปะยางมีกี่แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร


วิธีปะยางมีกี่แบบ


คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคนทั่วไปอาจจะไม่เคยรู้กันมาก่อน ว่าวิธีปะยางมีกี่แบบและปะยางแบบไหนดี แต่สำหรับผู้ที่ใช้รถใช้ถนนนั้น ต้องบอกเลยว่านี่อาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง เพื่อประสิทธิภาพในการขับขี่และความปลอดภัยของตัวเอง โดยวิธีการปะยางที่พบได้ทั่วไปมีอยู่หลายวิธี ดังนี้


1. ปะยางแบบแทงใยไหม

การปะยางแบบแทงใยไหมหรือแทงตัวหนอน คือวิธีการปะยางที่ไม่จำเป็นต้องถอดล้อ สามารถทำได้ทันที สะดวก รวดเร็ว ใช้เพียงใช้อุปกรณ์สำหรับดึงเอาสิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งสกปรกภายในออกมา ก่อนที่จะทำการแทงใยไหมแล้วอุดรอยแผลก็ถือว่าเรียบร้อย เหมาะสำหรับการปะยางรอยเล็ก ๆ หรือปะเพื่อใช้งานชั่วคราวเท่านั้น ไม่แนะนำให้ขับในระยะไกล เพราะยังมีโอกาสที่ลมภายในยางจะรั่วซึมออกมาได้ในภายหลัง ดังนั้นใครที่สงสัยว่าปะยางแล้ววิ่งทางไกลได้ไหม บอกเลยว่าวิธีปะยางแบบแทงใยไหมนี้ไม่แนะนำ


2. ปะยางแบบสตรีมร้อน

การปะยางแบบสตรีมร้อน คือวิธีการปะยางที่เริ่มมีขั้นตอนซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น โดยจะต้องทำการถอดล้อเพื่ออุดรอยรั่วจากภายใน แล้วใช้แผ่นปะยางแบบร้อนปิดบริเวณรอยรั่ว ก่อนจะใช้เตาปะยางกดเข้าไป เพื่อสมานตัวยางกับแผ่นปะยางให้มีความเรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน เหมาะสำหรับรอยรั่วหรือแผลที่ไม่ได้กว้างมากนัก มีข้อดีตรงความทนทาน สามารถใช้งานและรับน้ำหนักได้เป็นปกติ ไม่ต่างไปจากก่อนปะยาง แต่ด้วยกระบวนการปะยางที่ต้องใช้ความร้อน จึงอาจจะทำให้เนื้อยางบริเวณดังกล่าวแข็งตัว ทำให้ตัวยางเสียรูปหรือเกิดอาการยางบวมตามมาได้


3. ปะยางแบบสตรีมเย็น

การปะยางแบบสตรีมเย็นเป็นวิธีการปะยางที่คล้ายคลึงกับวิธีการปะยางแบบสตรีมร้อน แต่จะต่างกันก็ตรงที่วิธีการนี้จะไม่มีการใช้ความร้อน แต่จะใช้วิธีการขัดผิวยางให้มีความสาก ก่อนจะใช้กาวสำหรับปะยางแบบพิเศษ ก่อนจะแปะแผ่นยางเพื่ออุดรอยรั่วดังกล่าว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาของคุณภาพยางในระยะยาว ไม่ทำให้ยางบวมหรือเสียรูป มีความทนทาน ใช้งานได้นาน แต่อาจจะไม่สามารถรับน้ำหนักได้ดีเท่ากับการปะยางแบบสตรีมร้อน


เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ปะยางแบบไหนดี เช็กเลย !


วิธีการปะยาง

ข้อดี

ข้อเสีย



ปะยางแบบแทงใยไหม

  • รวดเร็ว
  • ไม่ต้องถอดล้อ
  • สามารถทำด้วยตัวเองได้
  • เป็นการปะยางที่ราคาถูกสุด
  • อายุการใช้งานสั้น ไม่ทนทาน
  • ไม่เหมาะกับการเดินทางไกล
  • อาจมีการรั่วซึมในจุดเดิมได้



ปะยางแบบสตรีมร้อน

  • ปิดรอยรั่วได้แนบสนิท
  • มีความทนทานสูง
  • รับน้ำหนักได้ดี
  • ใช้งานได้นานตามอายุการใช้งานของยาง (ประมาณ 3-5 ปี)
  • ความร้อนทำให้เนื้อยางแข็ง
  • ยางเสียรูป
  • ทำให้ยางบวม
  • ต้องถอดล้อ มีขั้นตอนยุ่งยาก

ปะยางแบบสตรีมเย็น

  • ปิดรอยรั่วได้เนียนสนิท
  • มีความทนทาน
  • ไม่ทำให้ยางเสียรูป ไม่เสียโครงสร้าง
  • ใช้งานได้นานตามอายุการใช้งานของยาง (ประมาณ 3-5 ปี)
  • รองรับน้ำหนักได้ไม่มากนัก
  • เสี่ยงต่อการรั่วซึมหากรับน้ำหนักมากเกิน


จากตารางเปรียบเทียบที่เรานำมาแชร์ ทำให้ทุกคนเห็นได้ชัดขึ้นเลยว่าวิธีการปะยางแบบไหนดี ที่เหมาะกับลักษณะการใช้งาน และปัญหายางรั่วของแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าการปะยางแต่ละแบบต่างก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกันออกไป ดังนั้นหลังทำการปะยางแล้ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม ทุกคนควรก็ตรวจสภาพรถ หรือเปลี่ยนยางรถยนต์ทันทีที่มีโอกาส เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานในระยะยาวด้วยนั่นเอง ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าควรเปลี่ยนยางรถยนต์ตอนไหนดีที่สุด สามารถอ่านจากบทความนี้ได้เลย 5 สัญญาณเตือนว่าถึงเวลาเปลี่ยนยางรถยนต์


ปะยางราคาเท่าไหร่ แพงไหม คุ้มหรือเปล่า


ปะยางราคาเท่าไหร่


โดยส่วนใหญ่ราคาในการปะยางมักจะไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ก็อาจจะถูกหรือแพงกว่ากันได้บ้างขึ้นอยู่กับว่าเข้าศูนย์หรือซ่อมอู่ทั่วไป นอกจากนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับวิธีการปะยางรวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ด้วย ดังนี้


  • ปะยางแบบแทงใยไหม ราคาประมาณ 70-100 บาท
  • ปะยางแบบสตรีมร้อน ราคาประมาณ 200-300 บาท
  • ปะยางแบบสตรีมเย็น ราคาประมาณ 200-300 บาท


และถึงแม้ราคาในการปะยางอาจจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ถ้าใครต้องใช้รถเป็นประจำ หรือจำเป็นต้องใช้งานรถในพื้นที่สมบุกสมบัน และค่อนข้างเสี่ยงต่อการเกิดรอยรั่วซ้ำ ก็แนะนำให้ทำการเปลี่ยนยางแทนการปะยางซ้ำไปซ้ำมาจะคุ้มค่ากว่า นอกจากจะประหยัดเงินในระยะยาวได้แล้ว ก็ยังปลอดภัยกับการใช้รถใช้ถนนมากกว่าด้วย


ปะยางกับเปลี่ยนยางต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดี ?


ปะยางกับเปลี่ยนยาง เลือกแบบไหนดี


การปะยางคือการซ่อมแซมยางเดิมกลับให้กลับมาใช้งานได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนยาง ในขณะที่การเปลี่ยนยางคือการนำเอายางเก่าที่มีปัญหาออกและเปลี่ยนเป็นยางเส้นใหม่ ดังนั้นวิธีการซ่อมยางทั้งสองแบบจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าจะถามว่าควรเลือกแบบไหนดี ก็คงขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของรอยรั่ว รวมถึงไลฟ์สไตล์การใช้งาน รวมถึงความสะดวกของแต่ละคน 


ถ้าเป็นรถยนต์ทั่วไปที่ไม่ได้ใช้งานหนัก ไม่ต้องรับน้ำหนักเยอะ และเกิดรอยรั่วไม่ได้ใหญ่มากก็สามารถใช้การปะยางได้ แต่ถ้ายางมีอายุการใช้งานนานแล้ว หรือมีรอยรั่วใหญ่เกินกว่าจะปะยาง เกิดการแตกหรือระเบิดอย่างรุนแรงก็ควรเปลี่ยนยางใหม่ไปเลยดีกว่านั่นเอง



ประกันรถยนต์ชั้นไหนบ้างที่เคลมยางแตก ยางรั่ว ยางระเบิดได้


ในกรณีที่เกิดยางรั่ว ยางแตก หรือยางระเบิดจากอุบัติเหตุรถชน รถติดหล่ม หรือตกหลุมอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดความเสียหายกับตัวยาง ทุกคนสามารถยื่นเคลมประกันเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนยางได้ แต่จะจำกัดเฉพาะผู้ที่เลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของทางบริษัทประกัน) ซึ่งส่วนใหญ่ทางบริษัทจะให้ความรับผิดชอบค่าเสียหายเพียง 50 % ของราคายาง


ซึ่งใครที่ไม่อยากควักเงินปะยางเองหรือไม่อยากเสียเงินเปลี่ยนยางแพง ๆ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ก็สามารถเลือกทำประกัน หรือต่อประกันรถยนต์ออนไลน์กับ SCB Protect ได้เลย เบี้ยประกันถูก ความคุ้มครองครอบคลุม เป็นหลักประกันที่ช่วยสร้างความมั่นใจ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อไหร่ ก็อุ่นใจกับการดูแลของเราได้เลยทันที สามารถเลือกแผนประกันรถยนต์ที่สนใจผ่านทางหน้าเว็บไซต์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ SCB Protect Contact center 1314 กด 1